Saturday, February 8, 2014

พฤติกรรมเลียนแบบ

พฤติกรรมเลียนแบบ


 

วีดีโอจาก Nam Krungkaew Channel

จิตวิทยาความเคยชิน


จิตวิทยาความเคยชิน




 
วีดีโอจาก Nam Krungkaew Channel

10 คำหวานที่ผู้หญิงอยากฟัง

10 คำหวานที่ผู้หญิงอยากฟัง 



ผู้ชายตกหลุมรักด้วยสองตา ทว่าผู้หญิงตกหลุมรักด้วยสองหู คำพูดดังกล่าวเป็นความจริงอันยิ่งใหญ่ที่คุณควรตระหนักไว้ และถ้อยคำต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรพูดกับหวานใจอย่างสม่ำเสมอ เพราะผู้หญิงทุกคนมีความสุขที่ได้ยิน. . . ยืนยันโดย : ดร. วิคตอเรีย ซีดร็อก


10. วันนี้เป็นไงบ้าง?
คำถามนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณแคร์ความเป็นไปและใส่ใจที่จะรับ ฟังสารทุกข์สุกดิบของเธอ การแสดงออกถึงความเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจในปัญหาที่เธอแบกรับและต้องการคนปรับทุกข์มักทำแต้มให้คุณได้ เสมอ แค่การพยักหน้าหรือส่งเสียง “อื่อฮึ” เป็นครั้งคราวตอนที่เธอระบายความอึดอัดออกมา ก็ทำให้เธอมั่นใจว่าคุณเป็นห่วงเป็นใยเธออย่างแท้จริง


9. รู้สึกยังไงบ้าง?
ทุกครั้งที่มีโอกาส คุณควรล้วงลึกลงไปในความรู้สึกของเธอที่มีต่อเรื่องต่างๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณได้แต้มด้าน “อารมณ์อ่อนไหว” เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เช่น ตอนที่เธอกำลังบ่นเรื่องแย่ๆ ของหัวหน้าให้ฟัง คุณควรถามกลับไปสั้นๆ ว่า “มันทำให้คุณรู้สึกยังไงบ้าง”

หรือก่อนจะออกไปข้างนอกด้วยกัน คุณก็ควรถามเธอว่า “รู้สึกยังไงถ้าเราจะออกไปดูหนังกัน หรือเราจะไปเยี่ยมคุณแม่กัน ฯลฯ” โดยทั่วไปผู้หญิงจะรู้สึกผูกพันกับคนที่ช่วยยกระดับอารมณ์ที่กำลังตกต่ำของ พวกเธอ ความไว้วางใจจะทำให้คุณกลายเป็นคนสำคัญจนขาดไม่ได้ในชีวิตของเธอ และรับรองว่าคุณจะได้รับความสุขอย่างเต็มที่บนเตียงนอน


8. มีอะไรที่ผมช่วยได้บ้าง?
ผู้หญิงมักประทับใจในตัวผู้ชายที่มีสัญชาตญาณของการแก้ปัญหา เพราะมันทำให้พวกเธอรู้สึกว่าเขามีลักษณะของความเป็นพ่อและคนที่รับมือกับ สิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่แทบทุกครั้งที่คุณยิงคำถามนี้ออกไป คำตอบที่มักจะได้รับกลับมาคือ “ไม่มีอะไรค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” อย่างไรก็ตาม เธอจะจดจำเอาไว้ว่าคุณยินดีที่จะช่วยหากเธอต้องการ


7. คุณสวยเหลือเกิน
ผู้หญิงรู้ดีว่าพวกเธอมักถูกเม้าท์หรือถูกพูดถึงในเรื่องรูปร่าง หน้าตาและการแต่งกายอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเธอจึงมักพูดถึงตัวเองก่อนที่จะถูกคนอื่นเมาธ์ทั้งต่อหน้าและลับ หลัง หากคุณจะเอ่ยชื่นชมในตัวเธอจึงไม่ควรพูดอะไรเว่อๆ ออกมา แค่บอกว่าเธอสวยน่ารัก

คุณต้องการคบกับเธอไปนานๆ และจริงจัง เธอก็ปลื้มจะแย่แล้ว การเอ่ยชมบั้นท้ายของเธอตอนที่คบกันใหม่ๆ อาจทำให้คุณต้องกินแห้วหรือไม่ก็ถูกตบ แต่ถ้าคบหาเป็นแฟนกันแล้ว การเอ่ยชมแบบเดียวกันอาจทำให้คุณได้ชื่นชมบั้นท้ายของเธอเป็นรางวัล


6. คิดไม่ถึงว่าคุณจะเก่งและฉลาดขนาดนี้
ผู้หญิงจะรู้สึกดีและมีความสุขหากได้รับความชื่นชมจากเพศตรง ข้ามมากกว่าเรื่องรูปร่างและหน้าตา เพราะถึงยังไงพวกเธอก็รู้ว่าสังขารของคนเรานั้นไม่มีวันอยู่ยั้งยืนยง การที่คุณแสดงความชื่นชมเกี่ยวกับสติปัญญา ความสามารถ พลังสร้างสรรค์ ความมานะบากบั่น

หรือคุณภาพชีวิตด้านอื่นนอกเหนือจากความสวยความงามของเธอ แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนจริงจังและลึกซึ้ง ไม่ได้มองเธอเป็นเพียงของเล่นหรือทางผ่าน


5. ยัยนั่นก็แค่เซ็กซ์บอมบ์สมองกลวง
จำไว้ว่าธรรมชาติของผู้หญิงคือการแข่งขันและเอาชนะกันและกัน ความสุขอย่างหนึ่งของพวกเธอคือการคุยทับผู้หญิงคนอื่น โดยเฉพาะคนที่พวกเธอมองว่าเป็นคู่แข่ง

บางครั้งที่คุณพบว่าเธอรู้สึกไม่มั่นใจเวลามีผู้หญิงบางคน อยู่ใกล้ๆ หากเธอถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นน่าฟัดรึเปล่า” คุณควรตอบว่า “ไม่เลยสักนิด” หรือ “น่าฟัดดี แต่คุณน่าฟัดมากกว่าเยอะ”


4. คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม
การบอกว่าคุณให้คุณค่าแก่เธอในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง สามารถคลายความกังวลของเธอได้ทันที ว่าเธอไม่ได้เป็นแค่คู่นอนของคุณเท่านั้น มันจะช่วยส่งเสริมความสนิทสนม และความไว้เนื้อเชื่อใจในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเธอ

อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งพูดประโยคนี้จนกว่าคุณจะได้เจาะไข่แดง ของเธอแล้ว เพราะถ้าเอ่ยคำพูดนี้เร็วเกินไป เธออาจคิดว่าคุณอยากเป็นแค่เพื่อนกับเธอโดยไม่มีเรื่องเซ็กซ์มาเกี่ยวข้อง


3. ผมรักคุณ
คำสามคำที่ผู้หญิงเสพติดเหมือนตกเป็นทาสเฮโรอีน ไม่ว่าคุณจะทำผิดอะไรมา คำว่า “ผมรักคุณ” สามารถไถ่บาปให้คุณได้เสมอ ยิ่งในวันวาเลนไทน์คำพูดนี้ยิ่งมีพลังมากขึ้น อาจจะมากกว่าการ์ดหรือช็อกโกแลตด้วยซ้ำไป แต่คุณต้องมั่นใจว่าพูดถูกที่ถูกเวลา เช่น

ระหว่างดูกีฬาก็ไม่ควรมีอารมณ์เอาคำนี้มาพูดกับเธอ เทคนิคในการทำให้เธออ่อนระทวย คือโน้มตัวเข้าไปใกล้ มองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แล้วกระซิบว่า “ผมรักคุณเหลือเกิน” ทำเหมือนที่พระเอกทำกับนางเอกในหนังโรแมนติก ไม่ว่าเธอจะเป็นหญิงเหล็กขนาดไหน คำพูดนี้จะทำให้เธอเข่าอ่อน และเปียกเยิ้มตรงหว่างขา


2. คุณเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจ
การผสมผสานคำว่า “รัก” “อยู่ด้วยกัน” “เสมอ” และ “ตลอดไป” จะต้องใช้อย่างมีเทคนิค เพราะคำพูดเหล่านี้ถูกนำมาใช้บ่อยมากในเพลงรักทั้งหลาย หากคุณต้องการกระชับความสัมพันธ์ขั้นต่อไป บอกเธอว่าคุณอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเธอ หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ถ้าเธอตกลงปลงใจก็เตรียมหาแหวนหมั้นได้ทันที


1. เราจะมีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน
สำหรับผู้หญิงแทบทุกคน ความเป็นแม่มักผูกติดกับความปรารถนาทางเพศและความสัมพันธ์กับใครสักคนอย่าง แยกกันไม่ออก แต่คุณควรใช้คำพูดนี้เฉพาะเวลาที่คุณหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่งั้นมันอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมของความโสด หากคุณพูดเล่นขณะที่เธอเอาจริง ถึงขั้นไม่ใส่ใจในการคุมกำเนิดอีกต่อไป

Credit bbberry.net

5 เทคนิคการจีบสาวทางโทรศัพท์

5 เทคนิคการจีบสาวทางโทรศัพท์


 
 
1. แค่ครึ่งชั่วโมงพอ
การโทรคุยกับสาวๆ นั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการชวนเธอออกเดท ไม่ใช่ไปสนทนาปัญหาบ้านเมือง เอาไว้คุยกันตอนออกเดตจะดีกว่าไหม

2. ขอวางตอนสนุก
คุณอาจไม่เคยวางสายในขณะที่การสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนานออกรสชาติ
แถมยังดั้นด้นคุยมันต่อไป 3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง
จนในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว แต่ก็ยังไม่วางสาย
จนกระทั่งในที่สุดเธอก็เบื่อคุณ(เห็นไหมล่ะ)
สิ่งที่ต้องทำก็คือคุณต้องวางสายทุกครั้งที่คิดว่าการสนทนากําลังเป็นไป
อย่างสนุก เรียกว่าเมื่อถึง"จุดสุดยอด"เมื่อไหร่ คุณต้องวางทันที
มันจะทําให้เธอคิดถึงคุณ คิดถึงบทสนทนาที่ดีระหว่างคุณและเธอ
และพอครั้งต่อไปที่คุณโทรไปหา
คุณจะรู้สึกได้เลยว่าเสียงเธอนั้นดีใจมากเวลาที่คุณโทรมา

3. วางสายก่อนได้เปรียบ
อย่ารอให้สาวของคุณเป็นคนขอวางสายก่อน คุณต้องบอกเธอก่อนทุกครั้ง!!
โดยที่คุณจะต้องทําตัวให้ท้าทาย
ทําเหมือนว่าคุณมีสิ่งที่สําคัญกว่าเธอรอคุณอยู่
ทําให้เหมือนกับว่าคุณนั้นชอบที่จะคุยกับเธอ
แต่ถ้าไม่ได้คุยคุณก็ไม่แคร์!!!
 
 4. โทรทำไมทุกวัน
เคยได้ยินมาหลายครั้งหลายหนเหลือเกินว่า เวลาจะคุยโทรศัพท์จีบสาวนั้น
ให้โทรไปทุกวัน โทรไปเรื่อยๆ บอกเธอไปว่าคิดถึงอย่างโน้นอย่างนี้
เพราะเดี๋ยวเธอก็ใจอ่อนเอง คุณกำลังคิดผิดถนัด!!!
ผู้หญิงนั้นถ้าเธอชอบเราไม่ว่าเราจะโทรไปทุกวันหรือไม่โทรหาเธอ
เธอก็ยังชอบคุณอยู่ดี การที่ไม่โทรไปหาเธอบ้าง
จะทําให้เธอกระวนกระวายใจและคิดถึงคุณมากยิ่งขึ้น แต่คุณลองคิดดู
ถ้าเธอยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะชอบคุณหรือไม่ แต่คุณโทรไปหาเธอทุกวันๆๆ
คุณนั้นกําลังบอกเธอเลยว่า ความสุขทั้งหมดของคุณขึ้นอยู่กับเธอคนเดียว
คุณไม่ได้เป็นสิ่งที่ท้าทายเลยสําหรับเธอ
เธอรู้ได้ทันทีว่าคุณเป็นลูกไก่ในกํามือ โทรไปวันเว้นสองวันบ้าง บางครั้ง
ก็ 3-4 วันครั้ง มันจะทําให้เธอรู้ว่าคุณมีชีวิตเป็นของตัวเอง
 
5. คุยเรื่องอื่นบ้าง
อย่ามัวแต่คุยเรื่องทั่วไป เช่น ทําอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน
วันนี้กินข้าวกับอะไร วันนี้ไปไหน ช้อปปิ้งมาเหรอ ซื้ออะไรมา
การคุยแบบนี้ใครก็คุยกับเธอได้และคุณจะทําให้เธอเบื่อ!!
การคุยเรื่องทั่วไปนั้นเราจะคุยเฉพาะตอนแรกๆที่เราโทรไปเท่านั้น
จากนั้นคุณต้องคุยเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกเธอ ความคิดของเธอ
ถามเธอว่าเธอคิดยังไง รู้สึกยังไงกับเรื่องนี้เรื่องนั้น
จากนั้นก็ให้เธอเผยตัวตนของเธอออกมา ให้เธอเปิดใจกับคุณมากขึ้น
และที่สําคัญคืออย่าคุยเรื่องที่มันเครียด
หาเรื่องที่คุยแล้วทำให้เธอรู้สึกว่าสบายใจ แล้วเธอจะรู้สึกไว้ใจคุณ
ยามที่เธอมีเรื่องไม่สบายใจอะไร เธอจะคิดถึงคุณก่อนเป็นคนแรก
และเป็นฝ่ายโทรไปหาคุณเอง จากนั้นค่อยสร้างสัมพันธ์แล้วค่อยขอเธอเป็นแฟน
แต่ขอฝากไว้หน่อยนะไม่ใช่โทรคุยกันครั้งแรกก็ขอเป็นแฟนเลย
วัยรุ่นอย่าใจร้อน เพราะสิ่งไหนที่ได้มาง่ายก็ไปง่ายได้เช่นเดียวกัน
เดี๋ยวได้น้ำตาตก

วิธีง่ายๆ โกหกให้เนียน


 วิธีง่ายๆ โกหกให้เนียน




1.การโกหกที่ดีต้องมีการวางแผน "รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" (เกี่ยวมั้ยหว่า)เอาเป็นว่าเกี่ยวแล้วกัน อย่างน้อยควรเตรียมเรื่องที่จะโกหกนิดส์นึง เพื่อความเนียน ควรนึกเรื่องที่มี "เหตุ ผล เนื่องจาก..... ก็เลย" จะสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียน

2.การพูด เมื่อเราจะเริ่มพูดโกหก เราต้องใช้ทำเสียงโทนเดียว ห้ามสูงเกิน
ไปหรือต่ำเกินไป เน้นท้ายประโยคด้วยเสียงที่หนักแน่นจะดีมาก

3.การจบท้าย...หลังจากการโกหกดำเนินไปด้วยดี...แต่ถ้ามาตายตอนหลัง..
คงจะแย่น่าดู เพราะฉะนั้นเราต้องกลับมา พูดซ้ำความเดิมเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือขอให้คุณฝึกฝนบ่อยครั้ง เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง เพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียน (กลายเป็นฉันสอนไปอีก)

[แต่ขอให้คุณรู้ไว้เลยว่า เมื่อเริ่มโกหกแล้ว...คุณจะไม่มีวันหยุดได้]

[นอกจากจะพูดความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่เดียวที่ล้มล้าง
คำโกหกได้ทั้งหมด]

4 เทคนิคเนียนๆ ไว้จับโกหกผู้ชายขี้จุ๊


 4 เทคนิคเนียนๆ ไว้จับโกหกผู้ชายขี้จุ๊



1. ถ้าคุณรู้สึกว่าเค้าโกหก ให้ลองทำเฉยๆ ทำเหมือนคุณเชื่อที่เค้าพูด แล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปซัก 2-3 วัน แล้วลองแยบถามตอนเผลอๆ ดู คนโกหก มักลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ค่ะ รับรองได้ว่าถ้าคำตอบเหมือนเดิมแสดงว่าเค้าพูดความจริง  แต่ถ้าใช้เวลาคิดนานก่อนตอบ ก็ไม่แน่นะ แสดงว่าเค้าอาจจะท่องจำมาอย่างดี กันพลาด


2. อย่าใช้วิธี เช็คกระเป๋าตังค์ เช็คโทรศัทพ์มือถือ เพราะมันล้าสมัยไปแล้ว แถมยังเป็นอาการของผู้หญิงนิสัยแย่อีกต่างหาก คุณผู้อ่านลองเปลี่ยนมาเป็นแกล้งโทรไปถามไถ่ทุกข์สุขเพื่อนของเค้าดูดีกว่า หรือลองแวะซื้อขนมไปฝากที่ออฟฟิตแล้วค่อยเนียนๆ ไปนั่งคุยกับเพื่อนสนิท หรือเลขา ค่อยๆ ตะล่อมถามอย่างละมุนละม่อม  แหม...คนโกหก มันต้องมีอาการผิดปกติบ่งบอกหรือแสดงออกมาอย่างแน่นอนค่ะ  แถมวิธีนี้ยังเป็นวิธีที่ไม่ผิดต่อแฟนของเราอีกด้วย ยกเว้นแต่ว่าคุณจะไปซักไซ้ไล่เลียง หรือเซ้าซี้ รบกวนผู้อื่นจนเกินไป อันนี้ก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้ค่ะ


3. ถ้าคุณมั่นใจว่าเค้าโกหกจริง ลองใช้วิธีเอาคืนดู แต่แค่พอให้รู้สำนึก อย่าถึงขั้นแตกหัก ลองแกล้งโกหก แล้วให้เค้าจับได้ ลองแอบไปเที่ยวแต่ให้เค้ารู้ ถ้าเค้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แสดงว่าเค้ายังแคร์คุณอยู่ และนั่นเป็นสัญญาณดี ที่คุณสองคนจะปรับความเข้าใจ และระบายความรู้สึกต่อกัน


4. แต่ถ้าผลลัพท์ตรงกันข้าม เค้ากับไม่สนใจใยดีคุณ และคุณทำตามทุกข้อที่บอกมา และค้นพบความจริงว่าเค้ารับประทานสตอว์เบอร์แหลไปหมดทั้งไร่ ก็ขอแนะนำให้ หาผู้ชายคนใหม่ ผู้ชายดียังมีอีกเยอะ ถึงแม้จะหายากก็ตาม  เราสองสาวโสดก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

Credit www.dek-d.com

ทายนิสัยคนใกล้ตัว

ทายนิสัยคนใกล้ตัว



 1. กำลังเดินไปตามทางเดิน แล้วเห็นอะไรอยู่รอบตัว
ก. ป่าทึบ มองขึ้นข้างบนแทบไม่เห็นท้องฟ้า
ข. ทุ่งข้าวโพดเหลืองอร่ามตัดกับสีขอบฟ้า
ค. เนินเขาสีเขียว เห็นภูเขาอยู่ลืบๆ

2. เห็นอะไรตกอยู่ข้างๆ เท้า
ก. กระจก
ข. แหวน
ค. ขวด

3. เก็บมันขึ้นมาไหม
ก. เก็บ
ข. ไม่เก็บ

4. เดินต่อไปเจอแหล่งน้ำ แหล่งน้ำที่ว่าคือ...
ก. ทะเลสาบใส
ข. น้ำตก
ค. ลำธาร

5. กุญแจที่จมอยู่ในน้ำซึ่งกำลังจะเก็บขึ้นมานั้นมีลักษณะอย่างไร
ก. กุญแจบ้าน
ข. กุญแจโบราณ
ค. กุญแจล็อคเกอร์เล็กๆ

6. ต่อมาเจอะบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแบบไหน
ก. แมนชั่นหรูแบบละแวกฮอลลีวู้ด
ข. กระท่อมพร้อมสนามหญ้า
ค. ปราสาทสวยโทรมๆ

7. แล้วทำยังไงต่อ
ก. มองเข้าไปทางหน้าต่าง
ข. เข้าไปสำรวจ
ค. ไม่สน... แล้วเดินต่อไป

8. ทันใดนั้นก็มีบางอย่างกระโจนใส่ ทำให้ตกใจ สิ่งนั้นคือ
ก. หมี
ข. พ่อมด
ค. เหยื่อที่ใช้ตกปลา

9. ด้วยความตกใจจึงวิ่งไปจนถึงกำแพงมีประตูคุณจึงมองลอดรูกุญแจก็เลยเห็น
ก. สวนเขียวขจีในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง
ข . บ่อน้ำกลางทะเลทราย
ค. ชายหาดและเกลียวคลื่น

---------------------------------

เฉลยคำถาม
คำถามที่ 1 ทัศนคติเกี่ยวกับตัวเอง
ก. คนอื่นมองว่าเป็นคนที่น่าสนใจ เพราะปกปิดตัวตนที่แท้จริงเพื่อนๆ รัก เพราะ
    เป็นนักฟังที่ดี
ข. เป็นคนฉลาด ซื่อสัตย์ และน่ารักเป็นมิตรกับทุกคน และไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร
    แถมยังเป็นตัวแทนของความร่าเริง สนุกสนาน ใครๆ จึงมักจะเข้ามาพูดคุยด้วย
ค. เป็นคนติดดิน และผู้คนรัก เพราะนิสัยเป็นคนตรงๆ นี่แหละ คือนักไกล่เกลี่ย
     ปัญหา เพราะจะรับฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินว่าใครถูกใครผิด
คำถามที่ 2 ลักษณะของคู่รักที่มองหา
ก. แฟนต้องเป็นคนที่จะร่วมชีวิตกันในอนาคต แต่ควรเปิดใจให้กว้าง เพราะที่
    สมบูรณ์ตามแบบอาจไม่ค่อยมีเสน่ห ์มากนัก
ข. ป็นคนโรแมนติก ยามรักจะทุ่มเทเพื่อถนอมรักไว้ให้ดีที่สุด เพราะเชื่อว่ารัก
    แท้จะคงอยู่ตลอดกาล และอยากให้แฟนห่วงใยดูแลเสมอ
ค. ชอบคนที่กล้าแสดงความเก่ง ทะเยอทะยาน และจริงจัง ฉะนั้นพวกหล่อ/สวยอย่าง
เดียวน่ะไม่ผ่าน
คำถามที่ 3 ความพร้อมที่จะผูกมัดกับใครซักคน
ก. ถ้าใช่ก็ได้เลย
ข. ดูใจกันไปเรื่อยดีกว่า
คำถามที่ 4 รักซึมลึกขนาดไหน
ก. จริงจังกับความสัมพันธ์เอามากๆ ถ้าพบคนที่ใช่จะรักสุดหัวใจ
ข. เพศตรงข้ามคิดว่าเซ็กซี่มาก เพราะหว่านเสน่ห์เก่งชาย/หญิงหลายขโยงจึงพากัน
หลงใหล
ค. ทักษะการจีบเป็นเลิศ จึงเปลี่ยนคู่ควงได้ไม่ซ้ำหน้า
คำถามที่ 5 ความสำคัญของการศึกษา
ก. การศึกษาสำคัญน้อยกว่าโลกภายนอกที่รออยู่เบื้องหน้า ลึกๆ แล้วอาจจะอยากเริ่ม
     ทำงาน และออกมาอยู่เอง
ข. การศึกษาสำคัญที่สุด อยากเรียนหนักๆ จะได้ซึมซับความรู้ไว้ให้มากที่สุดเท่า
     ที่จะมากได้
ค. อาจจะไม่ชอบเรียน แต่มีความคิดดีๆ มากมาย เชื่อสัตชาตญาณ และสมองของตัวเอง
     ฉะนั้นอาจลงเอยด้วยอาชีพที่ไม่เหมือนใคร
คำถามที่ 6 งานเหมาะๆ
ก. มีเป้าหมายเยอะ และพยายามทำทุกอย่างสุดๆ งานที่ชอบจึงต้องเป็นงานที่ได้แสดง
    พลัง ปรารถนาความสำเร็จอย่างที่สุด
ข. ยึดหลักความเป็นจริงในการเลือกอาชีพ และมุ่งมั่นจะเติบโตในสายงานที่เลือก
ค. อาชีพที่ฝันไว้เป็นไปได้ยากในชีวิตจริง น่าจะมองๆ หาอะไรใกล้ตัวทำไปก่อนดี
    กว่าไม่งั้นอาจเศร้า
คำถามที่ 7 ความสำเร็จมีความหมายแค่ไหน
ก. กลัวล้มเหลว เลยไม่กล้าเริ่มต้น จงอย่าเพิ่งยอมแพ้เสียตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ
ข. มั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ เพราะจะไม่มีสิ่งไหนมากั้นขวางได้
ค. ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องใหญ่ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ และชอบที่จะอยู่กับคนที่รัก
    มากกว่าจะทุ่มชีวิตไปกับการงาน หรือดำรงตำแหน่งสูง
คำถามที่ 8 กลัวอะไรมากที่สุด
ก. กลัวที่จะไม่มีใครให้พึ่ง หรือกลัวเลี้ยงตัวเองไม่ได้
ข. กลัวในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนเลยใช้อำนาจบาตรใหญ่
     เกินไปบ้าง
ค. เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่นเอามากๆ จึงพยายามสุดชีวิตที่จะได้
     รับการยอมรับจากผู้คน ต้องเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองบ้างแล้ว
คำถามที่ 9 ตัวตนคือ...
ก. เป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่าน ซื่อสัตย์ กล้าแสดงความเห็น ผู้คนจึงมาขอคำ
    ปรึกษาในเรื่องต่างๆ แต่อาจแย่ถ้าเจอปัญหาที่ต้องใช้หัวใจมิใช่สมอง
ข. ต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะชอบอยู่กับความคิดของตัวเอง และมักจะแว่บ
     หายยามเข้าตาจน แต่จะรู้สึกดีขึ้นถ้าระบายกับคนที่ไว้ใจซะบ้าง
ค. เป็นคนที่เต็มที่กับชีวิต และกล้าแสดงออก แต่เดาอารมณ์ยาก และเปลี่ยนความคิด
     ได้เรื่อยๆ บางครั้ง เหมือนมหาสมุทร...สงบได้...แต่ไม่นาน

Credit www.unigang.com

5 วิธีอ่านใจคนแบบง่ายๆ

 5 วิธีอ่านใจคนแบบง่ายๆ


        อัลแลน และบาร์บารา พีส (Allan and Barbara Pease)สองสามีภรรยาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย ได้ใช้เวลากว่าสิบปีในการสังเกตุท่าทางของมนุษย์เพราะเขาเชื่อว่า หากคนเราให้ความสนใจกับตัวเลขร้อยละ 38 ที่เกิดจากภาษากายและสามารถอ่านความหมายได้ถูกต้อง เราจะเข้าใจผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะที่การเพิกเฉยและขาดความสนใจจะนำไปสู่ความกลัวและความเชื่อผิดๆ
        หากพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย เริ่มจาก ท่ากอดอก มือและแขนไว้ทับกันอยู่บริเวณหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นการกอดอกในท่านั่งหรือยืน หมายถึง การปิดกั้น ความเห็นขัดแย้ง ความไม่พอใจ ความหวาดระแวง หากมีผู้ฟังกอดอกตลอดการสนทนา นั่นแปลว่า เขากำลังรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่เราพูด หากเป็นการเสนองาน มีความเป็นไปได้สูงว่า เมื่อเราพูดจบ เขาจะไม่ตอบตกลง
        เช่นเดียวกัน ขณะที่เรากอดอก ไม่ว่าจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม แต่คู่สนทนาของเราจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งจะทำให้เขาคล้อยตามเราได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรทำท่ากอดอกเมื่อต้องเจรจาต่อรองหรือเข้าประชุม
     

วิธีแก้สถานการณ์ 

1. หากคู่สนทนายังกอดอกแน่น ให้คุณยื่นสิ่งของเช่น เอกสาร แก้วน้ำหรือเครื่องดื่ม ให้เขาถือหรือดู เชื่อไหมว่า นักขายผู้สามารถใช้วิธีนี้ในการเปิดใจลูกค้า จะสามารถปิดการขายได้สำเร็จ 

2. ขณะ เจรจาให้ยื่นมือไปแตะที่บริเวณข้อศอกของคู่สนทนา แช่มือไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วจึงชักมือออก นี่เป็นเทคนิคที่ได้จากงานวิจัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ซึ่งได้ทดลองทิ้งเหรียญไว้ในตู้โทรศัพท์ เมื่ออาสาสมัครใช้โทรศัพท์เสร็จแล้ว ผู้วิจัยจะเดินเข้าไปถามหาเหรียญดังกล่าว ผลปรากฎว่าหากระหว่างถามผู้วิจัยใช้มือแตะข้อศอกของอาสามัครแช่ไว้ 3 วินาที อาสาสมัครจะยอมคืนเหรียญมากถึงร้อยละ 68 (วิธีนี้มีข้อพึงระวังเล็กน้อย หากแตะเหนือกว่าหรือต่ำกว่าข้อศอกจะไม่มีผล)
ท่า กอดตัวเอง มือข้างหนึ่งเลื่อนมาจับที่ข้อศอกหรือแขนทางด้านหน้า หมายความว่าความโดดเดี่ยว ความเครียด ท่านี้อัลแลนอธิบายว่า คนเรามักทำท่ากอดตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย หรือมีความกังวลใจในสถานภาพของตน เพราะมือที่พาดมาด้านหน้าเปรียบเสมือนเกราะกำบังนั่นเอง
หาก เราพบเห็นเพื่อนฝูงหรือใครทำท่านี้ อาจแปลได้ว่า เขากำลังกังวลกับเรื่องบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างเสื้อผ้า หน้าผม หรือรูปร่าง ก็ได้ เราจึงควรระมัดระวังคำพูดให้มาก และหลีกเลี่ยงการพูดล้อเลียน
ทำ มือแบบนี้= กำลังประหม่า ถ้าเราเห็นผู้ชายขยับกระดุมข้อมือหรือจัดสายนาฬิกาบ่อยๆ นั่นแปลว่าเขากำลังประหม่า ส่วนผู้หญิงที่ชอบถือกระเป๋าไม่ปล่อย ก็แปลได้ว่าเธอกำลังประหม่าเช่นกัน
หงาย ฝ่ามือ ขณะที่พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็หงายฝ่ามือไปด้วย หมายความว่า มีความสนใจ ความเห็นด้วย อัลแลนระบุว่า เมื่อคนเราหงายฝ่ามือเพื่อประกอบคำพูด นั่นแปลว่าเขากำลังพูดถึงสิ้นที่ตนเองพอใจและมั่นใจ นอกจากนี้การหงายฝ่ามือประกอบการอธิบายจะช่วยให้อีกฝ่ายจดจำข้อมูลได้ มากกว่าการไม่ใช้มือถึงร้อยละ 30 เชียวนะ
ท่า จับมือไขว้หลัง มือข้างหนึ่งไขว้หลังไปจับมืออีกข้างหนึ่ง หมายความถึงความเหนือชั้น ความมั่นใจ ความเป็นผู้นำ ท่านี้เป็นท่าพักของตำรวจหรือทหารที่เราสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป คนที่ทำท่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ มักจะอยู่ในอารมณ์ที่ปราศจากความกลัว และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เรา สามารถใช้ประโยชน์จากท่านี้ด้วยเพราะหากเรากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่มีความ ตึงเครียดสูง การทำท่าจับมือไขว้หลังจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากมือที่ไขว้มาด้านหลังจับอยู่ในบริเวณที่ไม่ใช่มือ เช่นจับข้อมือ หรือข้อศอก นั่นแปลว่า คนๆนั้นกำลังหงุดหงิด และพยายามจะควบคุมตัวเอง ยิ่งมือจับแขนสูงมากขึ้นเท่าใด อารมณ์ของคนผู้นั้นก็น่าจะหงุดหงิดหรือโกรธมากขึ้นเท่านั้น
ท่าปิดปาก ยกมือ นิ้ว หรือกำปั้นมาปิดที่บริเวณปาก ความหมายคือ พูดไม่จริง หรือมีอะไรบางอย่างปิดบังอยู่
เช่น เดียวกันกับท่าทางอื่นๆที่คนเรามักแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว คนที่โกหกมักจะทำท่าอย่างนี้โดยอัตโนมัติ หากเราเห็นคนทำท่าปิดปากขณะที่เรากำลังนำเสนอข้อมูล ก็อาจแก้ไขสถานการณ์ด้วยการถามเจาะจงไปว่า “มีคำถามอะไรไหม”เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ซักถาม
จะ เห็นได้ว่า เพียงแค่มือสองข้างก็สามารถคลี่คลายความรู้สึกได้มากมาย นอกจากจะทำให้เราเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างการสนทนาแล้ว ยังทำให้เราสามารถจับสัมผัสความรู้สึกของตัวเองได้อย่างละเอียดมากขึ้น
เมื่อตั้งหลักถามตัวเองบ่อยๆก็แปลว่าคุณมีสติรู้ตัวเองมากขึ้น แล้วโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสนทนาจะพ้นมือคุณไปได้อย่างไร……

Credit: www.dek-d.com


นักวิจัยไขเคล็ดลับ จับโกหก


 นักวิจัยไขเคล็ดลับ จับโกหก


คนโกหกอาจแสดงอาการหลายอย่างที่ฟ้องตัวเองออกมา
เอเจนซี – จราจรเป็นอัมพาตหรือว่าเขาแวะหาใคร? โทรศัพท์แบตฯหมดจริงๆ หรือเธอไม่อยากโทรมากันแน่?
 
หลายคนคงเคยมีคำถามแนวๆ นี้ในใจและไม่สามารถหาคำตอบได้
 
ถ้าเช่นนั้น ขอเชิญพบศาสตราจารย์ จิตวิทยา จากยูซีแอลเอ เอ็ดเวิร์ด กีเซลแมน ผู้ที่ใช้เวลาหลายปีศึกษาวิธีที่ดีที่สุดในการจับโกหก
 
กีเซลแมนและทีมวิจัยอีก 3 คนเชื่อว่า หลังจากวิเคราะห์รายงาน 60 ฉบับว่าด้วยการจับเท็จและการทำวิจัยเอง พวกเขาค้นพบวิธีที่ได้ผลที่สุดในการจับโกหกแม้แต่นักต้มและคนร้อยเล่ห์หลอกลวงที่มาพร้อมมุกอย่างเนียน
 
กีเซลแมนสำทับว่า แม้งานศึกษาฉบับนี้ที่ตีพิมพ์อยู่ในอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ ฟอเรนสิก ไซไคอะทรี ฉบับสัปดาห์ที่แล้ว เป็นงานที่จัดทำขึ้นสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติทุกคนสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ได้ ดังต่อไปนี้
Credit: วิดีโอจาก spokedarktv
  1.  เล่าแกนๆ - กีเซลแมนยอมรับว่าอาการนี้อาจเป็นการโต้ตอบตามสัญชาติญาณ แต่คนโกหกส่วน ใหญ่จะไม่บอกอะไรคุณมากนัก เพราะรู้ว่าขืนทำแบบนั้น ตัวเองจะต้องจำรายละเอียดที่ปั้นแต่งขึ้นมาเผื่อถูกซักไซ้ในอนาคต และอีกอย่างคือ กลัวว่าถ้าอธิบายละเอียดละออ คนฟังจะจับได้ว่าเป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่เรื่องจริง 
  2. บอกรายละเอียดที่ไม่จำเป็น - ถ้าเขาบอกคุณว่าใส่เสื้อตัวไหนหรือดื่มอะไรอยู่โดยที่คุณไม่ได้ถาม สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเขามีเรื่องปิดบังคุณแน่
  3.  ตอบคำถามด้วยคำถาม - คำถาม: "เมื่อคืนนี้คุณไปไหนมา?” คำตอบ: “เมื่อคืนนี้ฉันไปไหนมา?” กีเซลแมนอธิบายว่า คนโกหกอาจ ตอบคำถามอย่างช้าๆ แล้วค่อยพูดเร็วขึ้นเมื่อเรียบเรียงความคิดได้ หรืออาจลังเล พูดตกๆ หล่นๆ หรือตะกุกตะกัก เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวพูดใหม่
  4. เม้มปาก หลบตา - แปลว่าเขากำลังคิดหนักว่าจะตอบอย่างไรดี และมีแนวโน้มว่าจะหมกมุ่นกับตัวเอง เช่น ขยับเสื้อผ้าหรือจับผม
 
คนข้างๆ คุณเคยมีอาการแบบหนึ่งแบบใดเหล่านี้หรือไม่ คิดในแง่ดี เขา/เธออาจทำเพื่อถนอมน้ำใจคุณก็ได้

Credit eduzones.com

จิตวิทยา คือ อะไร?




จิตวิทยา (psychology) คือ
               ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (กระบวนการของจิต) , กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์ด้วย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว, ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามีความพยายามที่จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุดประสงค์ ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและ แสดงออกของพฤติกรรม

Credit th.wikipedia.org